วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

หลวงตามหาบัว (Luangta Bua's Dhamma)

 

หลวงตามหาบัว (Luangta Bua's Dhamma)


ท่านได้เจริญ "อิทธิบาทภาวนา" ต่ออายุองค์ท่านเอง ด้วยกำลังฌาณและอรหันตฤทธิ์ที่ทรงอานุภาพอย่างเยี่ยมยอด จนสามารถระงับยับยั้งอาการอาพาธมะเร็งขั้นสุดท้ายไว้ได้


     ถ้าพูดถึง "พระธรรมวิสุทธิมงคล" หรือที่เราคนไทยเรียกขานว่า "หลวงตามหาบัว" มีสิ่งน่าอัศจรรย์ ปาฏิหาริย์ หลากหลายแง่มุม ที่เล่าขานบอกต่อมากมายอยู่เสมอ

 

          โดยเฉพาะเรื่องหนึ่งที่หลายคนเคยได้ยินมาก่อนและมีความหมายอันทรงคุณค่าต่อประเทศไทยเป็นอันมากคือ เรื่องเล่าขานอันทรงพลังที่กล่าวถึงการหมดอายุขัยของหลวงตามหาบัว ตั้งแต่ตอนที่ท่านอายุได้ 80 ปี


     ว่ากันว่า ช่วงเวลานั้นหรือช่วงคาบเกี่ยวกับปี 2536-2540 หลวงตามหาบัวได้อาพาธหนักมาก คือเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะที่ 4 หลวงตาถึงขนาดสั่งให้เตรียมสร้างเมรุ เพื่อปลงสังขารของท่านเองที่ “วัดป่าบ้านตาด” ไว้เรียบร้อยแล้ว

 

          หากแต่เมื่อพอดีช่วงปี 2540 ประเทศไทยต้องประสบวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก ที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” หลวงตามหาบัว เกิดเวทนาสงสารลูกหลานไทยว่าจะพังพินาศกันไปหมดทั้งชาติ

 

 

 

 


 

          ว่าแล้ว ท่านจึงเจริญ “อิทธิบาทภาวนา” ต่ออายุองค์ท่านเอง ด้วยกำลังฌาณและอรหันตฤทธิ์ที่ทรงอานุภาพอย่างเยี่ยมยอด จนสามารถระงับยับยั้งอาการอาพาธ (มะเร็งขั้นสุดท้าย) ให้สงบราบคาบได้ อีกทั้งยังกลับมาแข็งแรงดังเดิม

 

          หลังจากนั้น ท่านได้ออกบิณฑบาตทองคำและดอลล่าร์ เพื่อ “ช่วยชาติ” ให้พ้นจากหายนภัย จนประสพผลสำเร็จอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย โดยได้ทองคำเข้าคลังหลวงถึงกว่า 10 ตัน และเงินดอลล่าร์อีก 10 ล้านดอลล่าร์ สร้างปรากการณ์ “ผ้าป่าช่วยชาติ” โด่งดังไปทั่วโลก

 

          อย่างไรก็ดี ในที่สุดกำหนดสวรรค์ก็มาถึงตามธรรมดาโลก และในวันนี้เมื่อ 8 ปีก่อน ตรงกับวันที่ 30 มกราคม 2554 พระธรรมวิสุทธิมงคล ได้ละสังขารไปอย่างสงบ สิริอายุได้ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา คงเหลือไว้ซึ่งคำสอบวัตรปฏิบัตรและแบบอย่างของความรักชาติแม้ในร่มกาสาวพัสตร์โดยแท้

 

 

          สำหรับประวัติ  พระธรรมวิสุทธิมงคล ฉายา ญาณสมฺปนฺโน หรือที่นิยมเรียกกันว่า หลวงตามหาบัว หรือ หลวงตาบัว นั้นเกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456

 

          หลวงตามหาบัว เดิมมีชื่อว่า “บัว โลหิตดี” เป็นชาวตำบลบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี มีพี่น้องทั้งหมด 16 คน ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เลื่อมใสในศาสนาพุทธ โดยได้ทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ

 

          หากแต่เดิมทีท่านยังไม่ตอบรับการออกบวช ตามคำขอของบิดาและมารดา ทำให้บิดาและมารดาของท่านถึงกับน้ำตาไหล ท่านจึงกลับพิจารณาออกบวชอีกครั้ง

 

          ที่สุดจึงตัดสินใจออกบวชโดยท่านกล่าวกับมารดาว่า “เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไหร่ก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ” ซึ่งมารดาก็ตกลงตามที่ท่านขอ

 

          ปรากฏว่า หลวงตาบัวอุปสมบทเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 จากวันนั้น ท่านก็ครองเพศบรรรพชิตจวบจนวาระสุดท้าย

 

 

 

ท่านอาจารย์มหาบัว กำลังรับบาตร ถัดออกไปข้างหลังคือ พระมหาอัมพร อัมพโร (หรือ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 ของประเทศไทย) บันทึกภาพที่บ้านตาด จ.อุดรธานี เมื่อ เดือนเมษายน พ.ศ. 2508 (ภาพโดย หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน) 


          หลวงตาบัว บวชที่วัดโยธานิมิตร ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี มีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จ.อุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์

 

          หลวงตาได้ฉายานามว่า “ญาณสมฺปนฺโน” แปลว่า “ถึงพร้อมแล้วด้วยญาณ” ท่านมีความเคารพเลื่อมในเรื่องการภาวนาและกรรมฐาน ท่านได้สอบถามวิธีการภาวนาจากพระอุปัชฌาย์ของท่านและได้รับการแนะนำให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ท่านจึงปฏิบัติภาวนาและเดินจงกรมเป็นประจำ

 

          ในการศึกษา หลวงตาบัวเริ่มเรียนหนังสือทางธรรมและศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ รวมทั้งพุทธสาวก โดยหลังจากพุทธสาวกเหล่านั้น ได้รับพระโอวาทจากพระพุทธเจ้าแล้วจะเดินทางไปบำเพ็ญในป่าอย่างจริงจังจนสำเร็จอรหันต์ ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสและตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรหัตผลให้ได้ จึงตั้งสัจอธิษฐานว่า เมื่อเรียนจบเปรียญธรรม 3 ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติกรรมฐานโดยถ่ายเดียว

 

 

ภาพจากเฟซบุค https://www.facebook.com/watkasornsilakun/?tn-str=k*F

 

 

 

          อย่างไรก็ตาม ท่านยังสงสัยว่า ถ้าท่านดำเนินตามแนวทางปฏิบัติตามพระสาวกเหล่านั้น จะสามารถบรรลุถึงจุดที่ท่านเหล่านั้นบรรลุหรือไม่ และมรรคผลนิพพานจะมีอยู่เหมือนครั้งพุทธกาลหรือไม่ ความสงสัยเหล่านี้ทำให้ท่านมุ่งหวังได้พบกับ “พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต” ซึ่งท่านเชื่อมั่นว่าท่านอาจารย์มั่นจะสามารถไขปัญหานี้ให้ท่านได้

 

          จากนั้น ท่านเดินทางศึกษาพระปริยัติในหลายแห่ง อาทิ วัดสุทธจินดาวรวิหาร จ.นครราชสีมา, วัดบรมนิวาสราชวรวิหาร กรุงเทพ โดยมีสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) เป็นอาจารย์สอนปริยัติธรรม

 

          จากนั้น ท่านเดินทางไปเรียนพระปริยัติธรรมที่วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร จ.เชียงใหม่ เวลานั้นพระธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านได้อาราธนานิมนต์พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ขอให้ไปจำพรรษาที่ จ.อุดรธานี พระอาจารย์มั่นรับนิมนต์นี้ และได้เดินทางมาพักที่วัดเจดีย์หลวงชั่วคราว จึงทำให้ท่านได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต ครั้งแรก

 

          ท่านศึกษาทางปริยัติที่วัดแห่งนี้ จนสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 3 ประโยคใน พ.ศ. 2484 นับเป็นปีที่ท่านบวชได้ 7 พรรษา

 

          ต่อมา หลังสำเร็จการศึกษาทางปริยัติ ท่านเดินทางไปจ.นครราชสีมาเพื่อปฏิบัติกรรมฐานได้ระยะหนึ่ง จึงเดินทางไปจ.สกลนครโดยตั้งใจไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์มั่นรับท่านเป็นลูกศิษย์และได้พูดขึ้นว่า

 

          “...ท่านมหามรรคผลนิพพานอยู่ที่ไหน? ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นฟ้าอากาศ แร่ธาตุต่างๆ เป็นของเขาเอง เขาไม่ได้เป็นมรรคผลนิพพาน เขาไม่ได้เป็นกิเลส กิเลสจริงๆ มรรคผลจริง ๆ อยู่ที่ใจ ขอให้ท่านกำหนดจิตจ่อด้วยสติที่หัวใจ ท่านจะเห็นความเคลื่อนไหวของทั้งธรรมของทั้งกิเลสอยู่ภายในใจ แล้วขณะเดียวกัน ท่านจะเห็นมรรคผลนิพพานไปโดยลำดับ...” (มั่น ภูริทัตโต)

 

 

 

 

 

          คำกล่าวนี้ทำให้ท่านเชื่อมั่นว่า มรรคผลนิพพานมีจริง และเชื่อมั่นพระอาจารย์มั่นที่ไขข้อข้องใจได้ตรงจุด ท่านรักษาระเบียบวินัยข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างเคร่งครัด

 

          หลังจากศึกษาอยู่กับพระอาจารย์มั่นในพรรษาที่ 2 ท่านเริ่มหักโหมความเพียรในการปฏิบัติกรรมฐาน จนผิวหนังบริเวณก้นช้ำระบมและแตก ในที่สุด พระอาจารย์มั่นเตือนว่า “กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับจิต” ซึ่งท่านก็น้อมรับคำเตือนของพระอาจารย์มั่นทันที

 

          อย่างไรก็ตาม ด้วยจริตนิสัยของท่านเรื่องการภาวนานั้น ถูกกับการอดอาหารเพราะทำให้ธาตุขันธ์เบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย และช่วยให้การบำเพ็ญจิตภาวนาเจริญขึ้นได้เร็วกว่าขณะที่ออกฉันตามปกติ แม้มีผู้คัดค้านก็ไม่ทำให้ท่านเปลี่ยนใจได้ ด้วยท่านพิจารณาแล้วว่าพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระภิกษุอดอาหารเพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาได้ แต่ไม่ใช่เพื่อการโอ้อวดหรืออดเพียงอย่างเดียว โดยไม่ฝึกฝนด้านจิตภาวนาเลยซึ่งไม่เกิดประโยชน์ ดังนั้น ท่านจึงใช้อุบายนี้เพื่อบำเพ็ญจิตตภาวนาเรื่อยมา

 

          ในพรรษาที่ 10 ท่านฝึกสมาธิจนมั่นคงหนักแน่น และสามารถอยู่ในสมาธิได้เท่าไหร่ก็ได้ ท่านมีความสุขอย่างยิ่งจากที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ท่านติดอยู่ในขั้นสมาธิอยู่ถึง 5 ปี โดยไม่ก้าวหน้าสู่ขั้นปัญญา

 

          จนกระทั่ง พระอาจารย์มั่นจึงให้อุบายเพื่อให้ท่านออกพิจารณาทางด้านปัญญา และเตือนท่านว่า

 

          “...สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่นี่หรือเป็นสัมมาสมาธิ...” ท่านจึงออกจากสมาธิและพิจารณาทางด้านปัญญาต่อไป

 

          ที่สุด ตามประวัติเล่าว่า หลวงตาบัวสามรถบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 แรม 14 ค่ำ เดือน 6 เวลา 5 ทุ่มตรง บนหลังเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร

 

          อย่างไรก็ดี ต่อมา โยมมารดาหลวงตาบัว เกิดล้มป่วยเป็นอัมพาต ท่านจึงพาโยมมารดากลับมารักษาตัวที่บ้านตาดอันเป็นบ้านเกิด หลังรักษาตัวหายขาดแล้ว ท่านพิจารณาเห็นว่าโยมมารดาของท่านก็อายุมากแล้ว จะพาไปอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพื่อการปลีกวิเวกตามนิสัยของท่านจะทำให้โยมมารดาลำบาก ประจวบกับเวลานั้น ชาวบ้านตาดมีความประสงค์ให้ท่านตั้งวัดขึ้นที่นั่นเช่นกัน


          ชาวบ้านจึงร่วมกันถวายที่ดินให้เป็นที่ตั้งวัด จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ “วัดป่าบ้านตาด” ณ หมู่บ้านบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2498

 

          ต่อมา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2513 โดยให้ชื่อว่า “วัดเกษรศีลคุณ”

 

 

 

ภาพจากเฟซบุค https://www.facebook.com/watkasornsilakun/?tn-str=k*F

 

 

          เวลาผ่านมา จนปี 2554 หลวงตามหาบัว  ได้เกิดอาพาธลำไส้อุดตัน และมีปอดติดเชื้อมานานกว่า 6 เดือน คณะแพทย์ถวายการรักษาอย่างต่อเนื่อง และมีการสร้างกุฏิปลอดเชื้อให้แก่พระเดชพระคุณ แต่อาการอาพาธไม่ดีขึ้น

 

         

          จนเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 02.49 น. ตรวจพบสมองของพระเดชพระคุณหยุดทำงานใน ต่อมา ตรวจพบม่านตาขยายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ฝ่ามือฝ่าเท้า ออกซิเจนในเลือดเป็น 0 จากนั้นเวลา 03.53 น. ความดันโลหิตมีค่าเป็น 0 หัวใจหยุดเต้นและหยุดการหายใจ จึงเป็นอันมรณภาพ สิริอายุได้ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา

 

 

 

 

          ในการนี้ท่านได้เขียนพินัยกรรม ไว้ตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 นั้น สรุปความได้ว่า ให้นำทองคำที่ได้รับบริจาคไปหลอม ส่วนเงินสดที่ได้รับบริจาคให้นำไปซื้อทองคำ แล้วนำมาหลอมรวมและมอบให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อเป็นทุนสำรองเงินตราของฝ่ายบำบัดธนาคารแห่งประเทศไทย และไม่มีเจตนาให้ใช้ในงานอื่น โดยตั้งพระสุดใจ ทนฺตมโน รองเจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด เป็นผู้จัดการมรดก รวมทั้งตั้งคณะกรรมการจัดงานศพและจัดการดูแลทรัพย์สินทั้งปวงอีก 9 คน

 

          กล่าวสำหรับ โครงการช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือที่เรียกทั่วไปว่า โครงการผ้าป่าช่วยชาติ นั้น เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2540 เนื่องจากท่านเดินทางไปแจกสิ่งของตามโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดารทำให้ทราบว่าโรงพยาบาลต่างๆ มีหนี้สินเป็นอันมาก ซึ่งเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่เปลี่ยนไป อันเป็นผลมาจากวิกฤติทางการเงินของประเทศ

 

 

 

 

 

          ท่านรู้สึกสลดใจเป็นอันมากจึงดำริที่จะช่วยชาติ โดยน้อมนำให้ชาวไทยทั่วประเทศร่วมกันบริจาคทองคำ เงินดอลลาร์ เงินสกุลต่างประเทศ และเงินบาท เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองที่กำลังประสบสภาวะเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำให้ฟื้นฟูและผ่านพ้นไปด้วยดี โดยเงินทองที่ได้มาจากการบริจาคนี้จะยกให้กับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อนำเข้าบัญชีฝ่ายออกบัตร (คลังหลวง) ทั้งหมด

 

          โครงการช่วยชาติได้รับเงินบริจาคเป็นปฐมฤกษ์เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2541 เป็นเงิน 2,500 ดอลลาร์สหรัฐ และเริ่มดำเนินโครงการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2541 โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีทรงเป็นประธานเปิดโครงการ

 

 

 

 

 

          ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553 ได้มอบเงินเข้าคลังหลวงรวมทั้งสิ้น 15 ครั้ง รวมเป็นทองคำแท่ง 967 แท่ง 12,079.8 กิโลกรัม หรือ 388,000 ออนซ์ ส่วนเงินตราต่างประเทศประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมเป็นเงินประมาณ 15,000 ล้านบาท

 

          หลังหลวงตามหาบัวมรณภาพ โครงการช่วยชาติยังดำเนินต่อและมอบเงินเข้าคลังหลวงครั้งที่ 16 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย เป็นทองคำแท่ง 73.64 แท่ง น้ำหนัก 920.5 กิโลกรัม ดังนั้น จึงมีทองคำแท่งบริจาคเข้าคลังหลวงรวม 1,040 แท่ง น้ำหนัก 13,000.05 กิโลกรัม เป็นเงิน 19,188,413,280 บาท และเมื่อรวมกับเงินดอลลาร์สหรัฐที่นำเข้าคลังหลวงแล้ว 10,214,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 306,965,073.36 บาท จะมีมูลค่า 19,495,378,353 บาท

 

***************//**************

ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดีย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วันวิสาขบูชา 2567 ตรงกับวันไหน พร้อมประวัติ ความสําคัญ หลักธรรม

  วันวิสาขบูชา 2567 ตรงกับวันไหน พร้อมประวัติ ความสําคัญ หลักธรรม วันวิสาขบูชา  2567 ตรงกับวันที่ 22 พฤษภาคม 2567 วันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6...